วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558


คำควบกล้ำ

  คำควบกล้ำ  หมายถึง  คำที่มีพยัญชนะสองตัวเขียนเรียงติดกันอยู่ต้นพยางค์ และใช้สระเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงกล้ำเป็นพยางค์เดียวกัน   เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์นั้นจะผันเป็นไปตามเสียงพยัญชนะตัวหน้า
            คำควบกล้ำ  มี  2  ชนิด คือ  คำควบแท้  และ  ควบไม่แท้
            คำควบแท้ ได้แก่ พยัญชนะ ร  ล  ว  ควบกับพยัญชนะตัวหน้า ประสมสระตัวเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงพยัญชนะทั้งสองตัวพร้อมกัน เช่น
           พยัญชนะต้นควบกับ ร ได้แก่   พร้อม  เพราะ   ใคร   กรอง  ครองแครง ขรุขระ  พระ ตรง ครั้ง  กราบ โปรด ปรักปรำ  ปรับปรุง   ครื้นเครง  เคร่งครัด  ครอบครัว  โปร่ง
          พยัญชนะต้นควบกับ ล ได้แก่  กลบเกลื่อน  กลมกลิ้ง  เกลี้ยกล่อม  เกลียวคลื่น    เคลื่อนคล้อย   ปลา   ปลวก  ปล่อย    เปลี่ยนแปลง    คลุกคลาน   เพลิง   เพลิดเพลิน    คล่องแคล่ว
          พยัญชนะต้นควบกับ ว ได้แก่  แกว่งไกว   กวาด  กว่า   ขวาง  ขว้างขวาน ขวิด   แขวน ขวนขวาย   ควาย    เคว้งคว้าง   คว่ำ  ควาญ   ความ  แคว้น ขวัญ ควัน
          คำควบไม่แท้
         คำควบไม่แท้ ได้แก่ พยัญชนะ ร ควบกับพยัญชนะตัวหน้าประสมสระตัวเดียวกัน เวลาอ่านไม่ออกเสียง ร  ออกเสียงเฉพาะตัวหน้าหรือมิฉะนั้นก็ออกเสียง เป็นเสียงอื่นไป
         คำควบไม่แท้ที่ออกเสียงเฉพาะพยัญชนะตัวหน้า  ได้แก่พยัญชนะ จ  ซ  ศ  ส  ควบกับ ร เช่น จริง ไซร้ เศร้าสร้อย  ศรี   ศรัทธา  เสริมสร้าง  สระ  สรง  สร่าง
         คำควบไม่แท้ ท ควบกับ ร แล้วออกเสียงกลายเป็น ซ ได้แก่ ทรง ทราบ ทราม ทราย แทรก ทรุด โทรม  มัทรี  อินทรี  นนทรี  พุทรา

 วีดีโอสอนเรื่อง คำควบกล้ำ





ที่มา https://www.gotoknow.org/posts/132917

หลักการใช้ตัวการันต์ และไม้ทัณฑฆาต

การันต์ ( การ+อันต์) แปลว่า กระทำในที่สุด ทำให้สุดศัพท์ หมายถึงตัวอักษรที่ไม่ออกเสียง ซึ่งมีเครื่องหมายทัณฑฆาต กำกับไว้
ทัณฑฆาต (  ์ ) แปลว่า ไม้สำหรับฆ่า เป็นเครื่องหมายสำหรับฆ่าอักษร ไม่ต้องออกเสียงหลักการใช้ตัวการันต์ และไม้ทัณฑฆาต มีหลักในการสังเกตดังนี้
        ๑.คำที่มีพยัญชนะหลายตัว (ตัวการันต์)   อยู่หลังตัวพยัญชนะที่เป็นตัวสะกด
ถ้าไม่ต้องการออกเสียงพยัญชนะเหล่านั้นจะใช้ไม้ทัณฑฆาตไว้บนพยัญชนะตัวสุดท้าย เช่น
            พักตร์         กษัตริย์         กาญจน์         ลักษณ์                      
        ๒.คำที่มาจากภาษาอังกฤษบางคำเมื่อนำมาเขียนในภาษาไทยมักใส่
ไม้ทัณฑฆาตลงบนตัวอักษรที่ไม่ต้องการออกเสียงนั้น เพื่อรักษารูปศัพท์เดิมไว้ และ
เพื่อสะดวกในการออกเสียง เช่น
             ฟิล์ม           อ่านว่า            ฟิม             ศัพท์เดิมคือ    film            
            ชอล์ก         อ่านว่า            ช็อก            ศัพท์เดิมคือ    chalk
            การ์ตูน        อ่านว่า            กา-ตูน        ศัพท์เดิมคือ    cartoon
       ๓. คำบางคำที่ออกเสียงเหมือนกันเป็นคู่ๆ ถ้ามีตัวการันต์จะทำให้ความหมายต่างไปจากเดิม เช่น
            กรณี (เหตุ, เรื่องราว)                 กรณีย์ (กิจที่พึงทำ)
            สุรี (ผู้กล้าหาญ)                         สุรีย์ (ดวงอาทิตย์)
            นิเทศ (ชี้แจง แสดง จำแนก)      ศึกษานิเทศก์ (ผู้ทำหน้าที่ชี้แจง)
     ๔. รูปศัพท์เดิมทำให้เขียนบางคำเขียนมีตัวการันต์ บางคำเขียนไม่มีตัวการันต์ เช่น
           เปอร์เซ็นต์     ต้องมี ต์            เพราะมาจากรูปศัพท์เดิมคือ  Percent  
           เซ็นชื่อ           ไม่ต้องมี  ต์       เพราะมาจากรูปศัพท์เดิมคือ  Sign
          ไตรยางศ์         ต้องมี  ศ์           เพราะมาจากรูปศัพท์เดิมคือ  ไตร + องศ์
     ๕. คำที่มีตัว ร ออกเสียงควบกับตัวสะกด ถึงแม้ไม่ออกเสียง จะเป็นตัวการันต์ไม่ได้ เช่น
         จักร                ตาล         ปัตร               บัตร                          บุตร           เพชร
      ปริตร             มาตร       มิตร        ยุรยาตร        วิจิตร         สมัคร
         ยกเว้นคำว่า    เทเวศร์    พยาฆร์(เสือโคร่ง)   ศุกร์
ส่วนตัว ร ที่ไม่ควบตัวสะกด เป็นตัวการันต์ได้ เช่น
จันทร์         พัสตร์(ผ้า)           พักตร์                     มนตร์                                                                  
ยนตร์          ศาสตร์                 เสาร์                       อินทร์                                                                                  
        การใช้ไม้ทัณฑฆาต ( ์ )
    ๑.ใช้สำหรับบอกให้รู้ว่าเป็นตัวสะกด  เช่น
         พุท์โธ  อันว่าพระพุทธเจ้า
    ๒. ใช้สำหรับฆ่าอักษรที่ไม่ต้องการออกเสียง ได้แก่
           ๒.๑  ฆ่าพยัญชนะตัวเดียว เช่น  การันต์  ครุฑพ่าห์  ทรัพย์ อลงกรณ์
           ๒.๒ ฆ่าสระ เช่น  หม่อมเจ้าทรงเชื้อธรรมชาติ์
          ๒.๓ ฆ่าทั้งพยัญชนะและสระ เช่น  พันธุ์  โพธิ์ สวัสดิ์
          ๒.๔ ฆ่าอักษรหลายตัว เช่น กษัตริย์  ฉันทลักษณ์  พระลักษณ์

วีดีโอสอน เรื่อง การใช้ตัวการันต์


ที่มาก http://nkw05129.circlecamp.com/index.php?page=7


สระในภาษาไทย

สระ หมายถึง เครื่องหมายใช้แทนเสียงที่เปล่งออกมา ตามหลักภาษา ถือว่าพยัญชนะจำเป็นต้องอาศัยสระจึงจะออกเสียงได้

รูปสระ 
รูปสระในภาษาไทยมี 21 รูปดังนี้
1.   –ะ  เรียก วิสรรชนีย์ สำหรับประหลังหรือเป็นสระอะ เเละประสมกับรูปอื่น เป็นสระ เอะ เเอะ โอะ เอาะ เออะ เอียะ เอือะ อัวะ
 2.   –ั  เรียก ไม้ผัด หรือ ไม้หันอากาศ สำหรับเขียนข้างบนเป็นสระ อะ เมื่อมีตัวสะกด เเละประสมกับรูปอื่นเป็นสระ อัวะ อัว
3.   –็  เรียก ไม้ไต่คู้ สำหรับเขียนข้างบน เเทนวิสรรชนีย์ในสระบางตัวที่มี ตัวสะกด เช่น เอ็น เเอ็น อ็อน ฯลฯ เเละใช้ประสมกับตัว ก เป็นสระ เอาะ มีไม้โท คือ ก็ อ่าน (เก้าะ)
4.   –า  เรียก ลากข้าง สำหรับเขียนข้างหลัง เป็นสระ อา เเละประสม กับรูปอื่น เอาะ อำ เอา ู
5.    –ิ  เรียก พินทุ์ อิ สำหรับเขียนข้างบนเป็นสระ อิ เเละประสมกับรูปอื่น เป็นสระ อี อึ อื เอียะ เอีย  เอือะ เอือ เเละใช้เเทนตัว อ ของ สระ เออ เมื่อมีตัวสะกดก็ได้ เช่น เกอน เป็น เกิน ฯลฯ
6.   –่  เรียก ฝนทอง สำหรับเขียนข้างบนพินทุ์ อิ เป็นสระ อี เเละประสม กับรูปอื่นเป็นสระ เอียะ เอีย
7.  –ํ  เรียก นฤคหิต หรือ หยาดน้ำค้าง สำหรับเขียนข้างบนลากข้าง เป็นสระ อำ  บนพินทุ์ อิ เป็นสระ อึ ในภาษาบาลีเเละสันกฤตท่านจัดเป็นพยัญชนะ เรียกว่า นิคหิต หรือ นฤคหิต สำหรับเขียนบนสระในภาษาบาลี  อ่านเป็น เสียง ง สะกด เช่น กํ กึ  อ่านว่า กัง กิง   ในภาษาสันสกฤต อ่านเป็นเสียง ม สะกด เช่น กํ กึ  อ่านว่า กัม กิม โบราณนำมาใช้เช่น ชุมนุม ฯลฯ
8.   ”  เรียก ฟันหนู สำหรับเขียนบน พินทุ์ อิ เป็นสระ อือ เเละ ประสมกับสระ อื่นเป็นสระ เอือะ เอือ
9.  –ุ  เรียก ตีนเหยียด สำหรับเขียนข้างล่างเป็นสระ อุ
10.  –ู เรียก ตีนคู้ สำหรับเขียนข้างล่างเป็นสระ อู
11.  เ-  เรียก ไม้หน้า สำหรับเขียนข้างหน้า รูปเดียวเป็นสระ เอ สองรูป เป็น สระ เเอ  เเละประสมกับรูปอื่นเป็นสระ เอะ เเอะ เออะ  เออ เอียะ เอีย เอือะ เอือ  เอา
12.  ใ  เรียก ไม้ม้วน สำหรับเขียนข้างหน้าเป็นสระ ใอ
13.  ไ  เรียก ไม้มลาย สำหรับเขียนข้างหน้า เป็นสระ ไอ
14.  โ  เรียก ไม้โอ สำหรับเขียนข้างหน้า เป็นสระ โอ เเละเมื่อ ประวิสรรชนีย์ เข้าไปเป็นสระ โอะ
15.  อ เรียกตัว ออ สำหรับเขียนข้างหลังเป็นสระ ออ เเละประสมกับรูปอื่น เป็นสระ อือ (เมื่อไม่มีตัวสะกด) เออะ เออ เอือะ เอือ
16.  ย เรียกตัว ยอ สำหรับประสมกับรูปอื่นเป็นสระ เอียะ เอีย
17.  ว เรียกตัว วอ สำหรับประสมกับรูปอื่นเป็นสระ อัวะ อัว
18.  ฤ เรียกตัว รึ สำหรับเขียนเป็นสระ ฤ
19.  ฤา เรียกตัว รือ สำหรับเขียนเป็นสระ ฤา
20.   ฦ  เรียกตัว ลึ สำหรับเขียนเป็นสระ ฦ
21.   ฦา เรียกตัว ลือ สำหรับเขียนเป็นสระ ฦา ฤ ฤา ฦ ฦา 4 ตัวนี้เป็นสระมาจากสันสกฤต จะเขียนโดดๆก็ได้ ประสมกับ พยัญชนะก็ได้ เเต่ใช้เขียนข้างหลังพยัญชนะ

 เสียงสระ       ถึงเเม้ว่าสระจะเป็นเสียงเเท้ ซึ่งเปล่งออกมาจากลำคอก็ดี เเต่ก็ต้องอาศัย ฐาน คือที่เกิดบ้างเล็กน้อยเหมือนกัน เเต่ไม่ต้องใช้ลิ้นหรือ ริมฝีปากให้มาก จนทำให้เสียงเเปรไปเป็นพยัญชนะ ในภาษาไทยมีเสียงสระต่างกันเป็น 32 เสียง ซึ่งประกอบขึ้นด้วยรูปสระ 21 ข้างต้นดังนี้


สระเสียงสั้น ได้แก่ สระที่ออกเสียงสั้น คือ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ โอะ เอาะ เออะ เอียะ เอือะ อัวะ ฤ ฦ อำ ไอ ใอ เอา

สระเสียงยาว ได้แก่ สระที่ออกเสียงยาว คือ อา อี อื อู เอ แอ โอ ออ เออ เอีย เอือ อัว ฤๅ ฦๅ

สระเดี่ยว ได้แก่ สระที่เปล่งเสียงออกมาเป็นเสียงเดียว ไม่มีเสียงอื่นประสมมี 18 ตัวได้แก่ อะ อา อิ อี อึ อื อุ อู เอะ เอ แอะ แอ เออะ เออ โอะ โอ เอาะ ออ

สระประสม คือ สระที่มีเสียงสระเดี่ยว 2 ตัวประสมกัน มี 6 ตัวได้แก่
เอียะ เสียง อิ กับ อะ ประสมกัน
เอีย เสียง อี กับ อา ประสมกัน
เอือะ เสียง อึ กับ อะ ประสมกัน
เอือ เสียง อื กับ อา ประสมกัน
อัวะ เสียง อุ กับ อะ ประสมกัน
อัว เสียง อู กับ อา ประสมกัน

สระเกิน คือ สระที่มีเสียงซ้ำกับสระเดี่ยว ต่างกันก็แต่ว่าสระเกินจะมีเสียงพยัญชนะประสมหรือสะกดอยู่ด้วย มี 8 ตัว ได้แก่
ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ (รึ รือ ลึ ลือ) มีเสียงพยัญชนะ ร ล ประสมอยู่
อำ มีเสียง อะ และพยัญชนะ ม สะกด
ใอ ไอ มีเสียง อะ และพยัญชนะ ย สะกด (คือ อัย)
เอา มีเสียง อะ และพยัญชนะ ว สะกด

วีดีโอการสอน เรื่อง สระในภาษาไทย




 
ที่มา https://pasathai.wordpress.com/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B0/



มาตราตัวสะกด

           การเรียนรู้มาตราตัวสะกดต่าง ๆ จะทำให้เราสามารถเขียนและอ่านคำไทยได้อย่างถูกต้องมากขึ้น ซึ่งมาตราตัวสะกดของไทย คืออะไร และต้องใช้อย่างไรบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกันค่ะ

          มาตราตัวสะกด คือ กลุ่มพยัญชนะที่ประกอบอยู่ท้ายคำหรือพยางค์ใน แม่ ก กา ทำให้เสียงของคำแตกต่างกันตามพยัญชนะที่นำมาประกอบ เช่น ตา เมื่อประสมกับ ล กลายเป็น ตาล, ชา เมื่อประสมกับ ม  กลายเป็น ชาม เป็นต้น

          มาตรา ก กา หรือ แม่ ก กา  คือ คำหรือพยางค์ที่ไม่มีพยัญชนะเป็นตัวสะกด โดยอ่านออกเสียงเป็นสระ เช่น หู  ตา ขา ลา กา ปลา เสือ โต๊ะ ตู้ ประตู ฯลฯ ทั้งนี้ แม่ ก กา เป็นหนึ่ง ในมาตราไทย แต่ไม่ถือว่าเป็นมาตราตัวสะกด เนื่องจากไม่มีพยัญชนะต่อท้าย ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า มาตราตัวสะกด มี 8 มาตรา คือ กก กด กบ กม เกย เกอว กง กน

สำหรับการใช้มาตราตัวสะกด ทั้ง 8 มาตรา แบ่งได้เป็น 2 ส่วน ดังนี้

 1. มาตราตัวสะกดตรงแม่ ใช้ตัวสะกดตัวเดียว มี 4 มาตรา ดังนี้

           แม่กง พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ ง เช่น กางเกง กระโปรง รองเท้า หนังสือ โรงเรียน ยางลบ เตียง พวงกุญแจ กล่องดินสอ ห่วงยาง ฯลฯ

           แม่กม พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ ม เช่น ร่ม ส้อม พัดลม กระดุม แชมพู โฟมล้างหน้า สนามกีฬา เข็มกลัด โคมไฟ ไอศกรีม ฯลฯ

           แม่เกย พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ ย เช่น สร้อยคอ กระเป๋าสะพาย ทางม้าลาย น้อยหน่า พลอย นักมวย  รอยเท้า ไฟฉาย ถ้วยกาแฟ ป้ายจราจร

           แม่เกอว พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ ว เช่น คอมพิวเตอร์ แก้วน้ำ มะนาว ไข่เจียว ก๋วยเตี๋ยว ทิวทัศน์ มะพร้าว ต้นข้าว ดวงดาว บ่าวสาว นิ้ว ฯลฯ

       2. มาตราตัวสะกดไม่ตรงแม่ มีตัวสะกดหลายตัวในมาตราเดียวกัน เพราะออกเสียงเหมือนตัวสะกดเดียวกัน มี 4 มาตรา คือ

           แม่กน  พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ  น ญ ณ ร ล ฬ เช่น ช้อน กรรไกร บันได ยาสีฟัน โลชั่น ฟุตบอล การบ้าน ตู้เย็น ปฏิทิน เหรียญ แจกัน
           
           แม่กก  พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ ก ข ค ฆ เช่น  กระจก หมวก คุกกี้  ที่พัก ก้อนเมฆ ตุ๊กตา กระติกน้ำ เนคไท สติ๊กเกอร์ จิ๊กซอว์ สุนัข

           แม่กด  พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส สะกด เช่น กระดาษ สมุดโน้ต ไม้บรรทัด นิตยสาร ไม้กวาด คีย์บอร์ด เสื้อเชิ้ต เตารีด โทรทัศน์ โปสเตอร์ รถเมล์

            แม่กบ  พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดในมาตรานี้ คือ บ ป ภ พ ฟ เช่น โทรศัพท์ รูปถ่าย ไมโครเวฟ ลิปสติก ธูปเทียน กรอบรูป ทัพพี ตะเกียบ ตลับยา แท็บเล็ต

วีดีโอสอน เรื่อง มาตราตัวสะกด

             สำหรับข้อมูลมาตรตัวสะกดที่นำมาเสนอในครั้งนี้ น่าจะทำให้หลาย ๆ คน เข้าใจในหลักการสะกดคำมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วหลักการใช้ภาษาไทยไม่ได้ยากอย่างที่คิด หากเราเข้าใจในพื้นฐานเบื้องต้นก็จะสามารถสร้างสรรค์คำใหม่ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย รวมถึงสามารถอ่านออกเสียงคำและข้อความต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนมากขึ้นด้วยค่ะ


ที่มา http://education.kapook.com/view59111.html

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558


สวัสดีค่ะ
คุณครูชื่อ นางสาว พัชราภรณ์  ยืนยั่ง
ชื่อเล่น กิ๊ฟ
จบจากโรงเรียนยโสธรพิทยาคม
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่สาขาวิชาการศึกษาพิเศษและการสอนภาษาไทย คณะครุศาสตร์ ชั้นปีที่ 1


วันนี้ครูจะมาสอนวิชาภาษาไทย

เรื่อง  ประโยค

ชนิดและหน้าที่ของประโยค

ความหมายและส่วนประกอบของประโยค
ความหมายของประโยค
ประโยค เกิดจากคำหลายๆคำ หรือวลีที่นำมาเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบให้แต่ละคำมีความสัมพันธ์กัน มีใจความสมบูรณ์ แสดงให้รู้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เช่น สมัครไปโรงเรียน ตำรวจจับคนร้าย เป็นต้น

ส่วนประกอบของประโยค
ประโยคหนึ่ง ๆ จะต้องมีภาคประธานและภาคแสดงเป็นหลัก และอาจมีคำขยายส่วนต่าง ๆ ได้

1. ภาคประธาน
ภาคประธานในประโยค คือ คำหรือกลุ่มคำที่ทำหน้าที่เป็นผู้กระทำ ผู้แสดงซึ่งเป็นส่วนสำคัญของประโยค ภาคประธานนี้ อาจมีบทขยายซึ่งเป็นคำหรือกลุ่มคำมาประกอบ เพื่อทำให้มีใจความชัดเจนยิ่งขึ้น

2. ภาคแสดง
ภาคแสดงในประโยค คือ คำหรือกลุ่มคำที่ประกอบไปด้วยบทกริยา บทกรรมและส่วนเติมเต็ม บทกรรมทำหน้าที่เป็นตัวกระทำหรือตัวแสดงของประธาน ส่วนบทกรรมทำหน้าที่เป็นผู้ถูกกระทำ และส่วนเติมเต็มทำหน้าที่เสริมใจความของประโยคให้สมบูรณ์ คือทำหน้าที่คล้ายบทกรรม แต่ไม่ใช้กรรม เพราะมิได้ถูกกระทำ

ชนิดของประโยค
ประโยคในภาษาไทยแบ่งเป็น 3 ชนิด ตามโครงสร้างการสื่อสารดังนี้

1. ประโยคความเดียว
ประโยคความเดียว คือ ประโยคที่มีข้อความหรือใจความเดียว ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เอกรรถประโยค เป็นประโยคที่มีภาคประโยคเพียงบทเดียว และมีภาคแสดงหรือกริยาสำคัญเพียงบทเดียว หากภาคประธานและภาคแสดงเพิ่มบทขยายเข้าไป ประโยคความเดียวนั้นก็จะเป็นประโยคความเดียวที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น


2. ประโยคความรวม
ประโยคความรวม คือ ประโยคที่รวมเอาโครงสร้างประโยคความเดียวตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไปเข้าไว้ในประโยคเดียวกัน โดยมีคำเชื่อมหรือสันธานทำหน้าที่เชื่อมประโยคเหล่านั้นเข้าด้วยกัน ประโยคความรวมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อเนกกรรถประโยค ประโยคความรวมแบ่งใจความออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้

2.1 ประโยคที่มีความคล้อยตามกัน ประโยคความรวมชนิดนี้ประกอบด้วยประโยคเล็กตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไป มีเนื้อความคล้อยตามกันในแง่ของความเป็นอยู่ เวลา และการกระทำ
ตัวอย่าง
• ทรัพย์ และ สินเป็นลูกชายของพ่อค้าร้านสรรพพาณิชย์
• ทั้ง ทรัพย์ และ สินเป็นนักเรียนโรงเรียนอาทรพิทยาคม
• ทรัพย์เรียนจบโรงเรียนมัธยม แล้ว ก็ไปเรียนต่อที่วิทยาลัยอาชีวศึกษา
• พอ สินเรียนจบโรงเรียนมัธยม แล้ว ก็ มาช่วยพ่อค้าขาย
สันธานที่ใช้ใน 4 ประโยค ได้แก่ และ, ทั้ง – และ, แล้วก็, พอ – แล้วก็

หมายเหตุ : คำ “แล้ว” เป็นคำช่วยกริยา มิใช่สันธานโดยตรง

2.2 ประโยคที่มีความขัดแย้งกัน ประโยคความรวมชนิดนี้ ประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยค มีเนื้อความที่แย้งกันหรือแตกต่างกันในการกระทำ หรือผลที่เกิดขึ้น
ตัวอย่าง
• พี่ตีฆ้อง แต่ น้องตีตะโพน
• ฉันเตือนเขาแล้ว แต่ เขาไม่เชื่อ

2.3 ประโยคที่มีความให้เลือก ประโยคความรวมชนิดนี้ ประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยคและกำหนดให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตัวอย่าง
• ไปบอกนายกิจ หรือ นายก้องให้มานี่คนหนึ่ง
• คุณชอบดนตรีไทย หรือ ดนตรีสากล

2.4 ประโยคที่มีความเป็นเหตุเป็นผลแก่กัน ประโยคความรวมชนิดนี้ประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยค ประโยคแรกเป็นเหตุประโยคหลังเป็นผล
ตัวอย่าง
• เขามีความเพียรมาก เพราะฉะนั้น เขา จึง ประสบความสำเร็จ
• คุณสุดาไม่อิจฉาใคร เธอ จึง มีความสุขเสมอ

ข้อสังเกต
• สันธานเป็นคำเชื่อมที่จ้ำเป็นต้องมีประโยคความรวม และจะต้องใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อความในประโยค ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สันธานเป็นเครื่องกำหนดหรือชี้บ่งว่าประโยคนั้นมีใจความแบบใด
• สันธานบางคำประกอบด้วยคำสองคำ หรือสามคำเรียงอยู่ห่างกัน เช่น ฉะนั้น – จึง, ทั้ง – และ, แต่ – ก็ สันธานชนิดนี้เรียกว่า “สันธานคาบ” มักจะมีคำอื่นมาคั่นกลางอยู่จึงต้องสังเกตให้ดี
• ประโยคเล็กที่เป็นประโยคความเดียวนั้น เมื่อแยกออกจากประโยคความรวมแล้ว ก็ยังสื่อความหมายเป็นที่เข้าใจได้


3. ประโยคความซ้อน
ประโยคความซ้อน คือ ประโยคที่มีใจความสำคัญเพียงใจความเดียว ประกอบด้วยประโยคความเดียวที่มีใจความสำคัญ เป็นประโยคหลัก (มุขยประโยค) และมีประโยคความเดียวที่มีใจความเป็นส่วนขยายส่วนใดส่วนหนึ่งของประโยคหลัก เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยคหลัก (อนุประโยค) โดยทำหน้าที่แต่งหรือประกอบประโยคหลัก ประโยคความซ้อนนี้เดิม เรียกว่า สังกรประโยค
อนุประโยคหรือประโยคย่อยมี 3 ชนิด ทำหน้าที่ต่างกัน ดังต่อไปนี้

3.1 ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่แทนนาม (นามานุประโยค) อาจใช้เป็นบทประธานหรือบทกรรม หรือส่วนเติมเต็มก็ได้ ประโยคย่อยนี้เป็นประโยคความเดียวซ้อนอยู่ในประโยคหลักไม่ต้องอาศัยบทเชื่อมหรือคำเชื่อม

ตัวอย่างประโยคความซ้อนที่เป็นประโยคย่อยทำหน้าที่แทนนาม
• คนทำดีย่อมได้รับผลดี
คน...ย่อมได้รับผลดี : ประโยคหลัก
คนทำดี : ประโยคย่อยทำหน้าที่เป็นบทประธาน

• ครูดุนักเรียนไม่ทำการบ้าน
ครูดุนักเรียน : ประโยคหลัก
นักเรียนไม่ทำการบ้าน : ประโยคย่อยทำหน้าที่เป็นบทกรรม
3.2 ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่เป็นบทขยายประธานหรือบทขยายกรรมหรือบทขยายส่วนเติมเต็ม (คุณานุประโยค) แล้วแต่กรณี มีประพันธสรรพนาม (ที่ ซึ่ง อัน ผู้) เชื่อมระหว่างประโยคหลักกับประโยคย่อย
ตัวอย่างประโยคความซ้อนที่ประโยคย่อยทำหน้าที่เป็นบทขยาย

• คนที่ประพฤติดีย่อยมีความเจริญในชีวิต
ที่ประพฤติ ขยายประธาน คน
- คน...ย่อมมีความเจริญในชีวิต : ประโยคหลัก
- (คน) ประพฤติดี : ประโยคย่อย

• ฉันอาศัยบ้านซึ่งอยู่บนภูเขา
ซึ่งอยู่บนภูเขา ขยายกรรม บ้าน
- ฉันอาศัยบ้าน : ประโยคหลัก
- (บ้าน) อยู่บนภูเขา : ประโยคย่อย
3.3 ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่เป็นบทขยายคำกริยา หรือบทขยายคำวิเศษณ์ในประโยคหลัก (วิเศษณานุประโยค) มีคำเชื่อม (เช่น เมื่อ จน เพราะ ตาม ให้ ฯลฯ) ซึ่งเชื่อมระหว่างประโยคหลักกับประโยคย่อย

ตัวอย่างประโยคความซ้อนที่ประโยคย่อยทำหน้าที่เป็นบทกริยาหรือบทขยายวิเศษณ์

• เขาเรียนเก่งเพราะเขาตั้งใจเรียน
เขาเรียนเก่ง : ประโยคหลัก
(เขา) ตั้งใจเรียน : ประโยคย่อยขยายกริยา

• ครูรักศิษย์เหมือนแม่รักลูก
ครูรักศิษย์ : ประโยคหลัก
แม่รักลูก : ประโยคย่อย (ขยายส่วนเติมเต็มของกริยาเหมือน)


หน้าที่ของประโยค
ประโยคต่างๆ ที่ใช้ในการสื่อสารย่อมแสดงถึงเจตนาของผู้ส่งสาร เช่น บอกกล่าว เสนอแนะ อธิบาย ซักถาม ขอร้อง วิงวอน สั่งห้าม เป็นต้น หากจะแบ่งประโยคตามหน้าที่หรือลักษณะที่ใช้ในการสื่อสาร สามารถแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะ ดังนี้
1. บอกเล่าหรือแจ้งให้ทราบ
เป็นประโยคที่มีเนื้อความบอกเล่าบ่งชี้ให้เห็นว่า ประธานทำกริยา อะไร ที่ไหน อย่างไร และเมื่อไหร่ เช่น
- ฉันไปพบเขามาแล้ว
- เขาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ
2. ปฏิเสธ
เป็นประโยคมีเนื้อความปฏิเสธ จะมีคำว่า ไม่ ไม่ได้ หามิได้ มิใช่ ใช่ว่า ประกอบอยู่ด้วยเช่น
- เรา ไม่ได้ ส่งข่าวถึงกันนานแล้ว
- นั่น มิใช่ ความผิดของเธอ
3. ถามให้ตอบ
เป็นประโยคมีเนื้อความเป็นคำถาม จะมีคำว่า หรือ ไหม หรือไม่ ทำไม เมื่อไร ใคร อะไร ที่ไหน อย่างไร อยู่หน้าประโยคหรือท้ายประโยค เช่น
- เมื่อคืนคุณไป ที่ไหน มา
- เธอเห็นปากกาของฉัน ไหม
4. บังคับ ขอร้อง และชักชวน
เป็นประโยคที่มีเนื้อความเชิงบังคับ ขอร้อง และชักชวน โดยมีคำอนุภาค หรือ คำเสริมบอกเนื้อความของประโยค เช่น
- ห้าม เดินลัดสนาม
- กรุณา พูดเบา

สรุป

การเรียบเรียงถ้อยคำเป็นประโยคความเดียว ประโยคความรวม และประโยคความซ้อน สามารถขยายให้เป็นประโยคยาวขึ้นได้ด้วยการใช้คำ กลุ่มคำ หรือประโยค เป็นส่วนขยาย ยิ่งประโยคมีส่วนขยายหรือองค์ประกอบมากส่วนเพียงใด ก็จะยิ่งทำให้การสื่อสารเกิดความเข้าใจต่อกันมากขึ้นเพียงนั้น ข้อสำคัญ คือ ต้องเข้าใจรูปแบบประโยค การใช้คำเชื่อมและคำขยาย ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงเจตนาในการส่งสารด้วย ผู้มีทักษะในการเรียบเรียงประโยคสามารถพัฒนาไปสู่การเขียน เล่า บอกเรื่องราวที่ยืดยาวได้ตามเจตนาของการสื่อสาร ดังนั้นผู้ใช้ภาษาจึงต้องศึกษาและทำความเข้าใจโครงสร้างประโยค และวิธีการสร้างประโยคให้แจ่มแจ้งชัดเสียก่อนจะทำให้การสื่อสารเกิดประสิทธิผล และสามารถใช้ภาษาสื่อสารให้เกิดความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น

วิดีโอการสอน เรื่อง ประโยค




ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=bvyvgl_tH-w